คำถามที่มักเจอเป็นประจำคือ
กิน sarm พวก rad 140 / LGD4033
หรือฉีด AAS พวก test e / tren / mast ดีกว่ากัน
อันนี้เราต้องแยกเป็นประเด็นก่อน
ในกรณี ยาแบบกิน เราไม่สามารถใช้ยาในกลุ่มฮอโมนได้ (anavar,stano,dbol และ อื่นๆ) เพราะเมื่อใช้ยาในกลุ่มฮอร์โมนมันจะกดฮอร์โมนธรรมชาติลงจนทำให้ฟังชั่นการทำงานต่างๆไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่นเรื่องอารมณ์และเพศ เป็นต้น เพราะฉนั้น แบบกินก็จะไปตกอยู่ที่
กลุ่ม sarm และ fat loss สิ่งที่เราคาดหวังได้จากยากลุ่มกินโดยไม่ฉีดก็จะประมาณอาหารเสริมเวอร์ชั่นตีบวกที่เห็นผลจริง และไวกว่า หุ่นฟิตเนสแมน นายแบบ แบบนี้พอได้ แต่จะไปคาดหวังให้มันใหญ่โตเกินมนุษย์ทั่วไปมันไม่ถึงตรงนั้น อีกอย่างนึงคือราคาโดยรวมแล้วค่อนข้างจะแพงกว่าในเรื่องของผลลัพท์เมื่อเทียบกับการฉีด
และแบบกินก็มีความจำเป็นต้องมอนิเตอร์พวกตับไตไส้พุงมากกว่า และมีรอบของการใช้ไม่สามารถใช้ติดต่อกันได้นานมากนัก
สรุปก็คือ แบบกิน
ข้อดี
- ง่ายสะดวก
- ผลกระทบเรื่องฮอโมนน้อย
- หยุดใช้ง่าย ปรับฮอร์โมนนิดหน่อย
- เหมาะสำหรับคนอย่างลองเริ่มต้น
ข้อเสีย
-ผลลัพท์น้อยกว่าเมื่อเทียบกับแบบฉีด
-บางตัวอาจมีผลต่อตับ
-มีรอบของการใช้ไม่สามารถใช้ติดต่อเป็นเวลานาน
แล้วแบบฉีดเหมาะกับใคร
เหมาะกับคนที่รู้ตัวแล้วว่าจะจริงจังทางด้านนี้รวมไปถึงคนที่ตรวจพบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มฮอโมนต่ำกว่าปกติ คนพวกนี้จะได้ประโยชน์มากที่สุด ทั้งเรื่องทางด้านร่างกายและจิตใจ การพัฒนาก็จะไปได้ไกล หุ่นที่ไปไกลขนาดใหญ่กว่านักกีฬาอาชีพที่หุ่นดีดี(ยกเว้นวงการเพาะกาย) ก็ต้องมาทางนี้ทั้งนั้นครับ คนไม่เคยใช้ โดน Test E , Test C สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งไปเดือนเดียวก็รู้สึกได้ ข้อดีก็คือในงบเริ่มต้นมันให้ผลลัพธ์ดีกว่ายาเม็ดมากนัก แต่... มันมีของเสริมเติมแต่งได้ไม่รู้จบไม่ว่าจะเป็น hgh และอื่นๆไปไปมามาอาจจะใช้งบบานได้ ตามคำกล่าวที่ว่า โตตามตัง นั้นแล
พูดถึงข้อเสียก็น่าจะเป็นความไม่สะดวกในการฉีด
พูดถึงการฉีดแล้วมันอาจจะดูน่ากลัวสำหรับคนทั่วไป แต่ผ่านครั้งแรกไปได้อะไรก็ง่ายเสมอ ไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิด รวมไปถึง ผลกระทบจากฮอร์โมน อันนี้แล้วแต่ความเซนซิทีฟของตัวบุคคล ทั้งเรื่อง ผิว สิว ผม ที่จะแสดงออก อัตลักษณ์ของความเป็นชายมากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยู่ที่คุณแล้วแหละว่าจะเลือกแบบไหน
Commenti